testing















โหดจริง!!..ขับรถพุ่งชนตำรวจ ดับสอง ในเวเนซุเอลา

Posted by อุบัติเหตุ/เตือนภัย on Friday, April 1, 2016
Share:
อ่านต่อ

เด็กหนุ่มใช้สิ่งนี้เป็นเหยื่อตกปลา หลายคนเห็นต้องบอกเลยว่าสุดยอดจริงๆ!

สำหรับการตกปลาถื่อว่าเป็นกิจกรรมสุดโปรดของหนุ่มๆหลายคน ซึ่งนอกจากจะได้ความสนุกแล้วยังได้อาหารมากคุณค่ากลับบ้านไปปรุงอาหารรับประทานอีกด้วย วันนี้ เลยมีภาพความแปลกในการตกปลามาฝาก เพราะแอบไปเห็นภาพที่ถูกแชร์กันต่อๆมา ที่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งใช้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาใช้เป็นเหยื่อล่อปลา รู้สึกว่าปลาจะชอบเหยื่อชนิดนี้ด้วยนะ เพราะมีปลาตัวใหญ่มาติดกับ ไปดูภาพกันค่ะ







Share:
อ่านต่อ

กัดฟันใช้วันละร้อย เพื่ออนาคต และเขาก็มีเงินล้านจนได้!! ด้วยวิธีเก็บเงินแบบนี้

เรียกได้ว่าทำให้หลายๆ คนมีความหวังในการมีเงินเก็บกันเลยทีเดียวกับการทุ่มเท ความมีระเบียบวินัยในการเก็บเงินของชายหนุ่มคนนี้ ที่กลับมาวางเเผนชีวิต วางแผนการใช้เงิน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน

เมื่อเร็วๆ นี้เราได้เห็นภาพเด็กน้อยถือเงินเป็นฟ่อนๆ (9 แสน) พร้อมคอมเมนต์ใน facebook “ขอชื่นชมครับคุณพ่อ” ผมนี่อยากรู้จริงๆคุณพ่อของน้องได้เงินเดือนเท่าไหร่ เป็นมนุษย์เงินเดือนหรือไม่ #lonely #rooyang อ่านคอมเมนต์เรื่อยๆเจอประโยคนี้เข้าไป


“ทุก สิ่ง ทุกอย่าง อยู่ที่ความตั้งใจ เงิน จะหามาง่าย หรือยาก หากไม่รู้จักประหยัด หรือเก็บออม ก็ไม่มีอยู่ดี คิดดี ทำดี ผมสนับสนุนครับ” หลายคนชื่นชมในความรักของพ่อและความน่ารักของลูกสาวจนแอบตั้งปณิธานว่าลูกผม ต้องไม่ลำบากเหมือนกันถ้ารู้จักออมตั้งแต่วันนี้ เชื่อเถอะครับว่ามนุษย์เงินเดือนก็มีเงินล้านได้ อาจจะใช้เวลา 10 ปี ถ้าวางแผนดีๆตั้งแต่ก้าวแรก




ก้าวแรกสู่การมีเงินล้าน

สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคนครับ ผมชื่อ Tom Percy … จุดประสงค์ที่ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก็มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเด็นครับ

1.ต้องการขอบคุณแบบอย่างที่ดีทุกท่านในกระทู้พันทิป หรือจากเพจต่างๆ ที่เป็นแนวทางให้ผมจากมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่ไม่มีเงินเก็บได้รู้จักเก็บ เงิน

2.ต้องการเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆทุกคน ที่ไม่มีเงินเก็บเลยได้มีโอกาศได้เก็บเงินสู่ความมั่งคั่งในอนาคต

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ ที่รายได้ไม่ได้มากมายอะไร ทำงานวันจันทร์ถึงวันเสาร์ และใช้ชีวิตแบบเหนือมาตรฐานเงินเดือนที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็น กาแฟสุดหรูแก้วละ 50-60 ต่อวัน หรือจะเป็นบุฟเฟ่ต์ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังทุกวันอาทิตย์ และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อมาทดแทนแรงกายที่เสียไปในแต่ละวันของการทำงาน

แต่แล้ววันหนึ่งผมเริ่มเห็นเพื่อนหลายคนแต่งงาน มีรถ มีบ้าน ไปต่างประเทศ และมีเงินเก็บมากมาย ทั้งๆที่วิถีชีวิตของเพื่อนๆผมก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบที่ผมใช้เลย แต่กลับใช้ชีวิตเรียบง่าย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมหันกลับมามองตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง


หลังจากที่ผมคิดได้แล้ว ก็เริ่มมาศึกษาหาข้อมูลต่างๆในเพจต่างๆ รวมทั้งพันทิป มีคนมากมายสอนวิธีการเก็บเงิน วิธีรวยต่างๆมากมาย ซึ่งนั่นเองทำให้ผมรู้ว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงไม่มีเงินเก็บเลย แถมชักหน้าไม่ถึงหลัง เดือนชนเดือนด้วยซ้ำ ซึ่งหลังจากผมศึกษามาหลายแบบ ก็เริ่มตัดสินใจลงมือทำทันที ถึงจะช้าไป(ตอนนี้อายุ30แล้ว) แต่ผมคิดว่า ไม่มีอะไรสายเกินไป อายุเป็นแค่ตัวเลขจริงไหมครับ? ผมเลยลำดับมาคร่าวๆตามนี้ครับ

1.ตั้งเป้าหมายชีวิตและเป้าหมายทางการเงิน

ตลอดชีวิต30ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยตั้งเป้าหมายอะไรเลยสักครั้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องตั้งเป้าหมาย ได้แต่ใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน เดือนชนเดือน ซึ่งหลังจากที่ผมทำการตั้งเป้าหมายให้ชีวิต มันทำให้ผมมีกำลังใจที่จะเก็บเงิน อย่างน้อยก็รู้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร เพื่อใคร ผมตั้งเป้าหมายว่าต้องเก็บเงินไปต่างประเทศให้ได้ภายใน2ปีนี้(เกิดมาไม่เคย ไปต่างประเทศเลย) และนั่นทำให้ผมเริ่มมีกระปุกออมสินพิเศษ นั่นคือ “กระปุกออมประสบการณ์จากต่างแดน” เป็นใบแรก

2.เริ่มจดบัญชีรายรับ-รายจ่าย

ปกติทุกครั้งที่ผมจ่ายเงินออกไป จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจ่ายค่าอะไรไปบ้าง คือในกระเป๋ามีเงินอยู่เท่าไรต้องใช้ให้หมด เพราะมันคือความสุขในการใช้ชีวิต และผมได้ใช้ชีวิตแบบไฮโซโก้เก๋ด้วย ซึ่งนั่นคือความคิดที่ผิดมาก แต่หลังจากที่ผมทำบัญชีรายรับรายจ่าย แรกๆก็ขี้เกียจที่จะลงบันทึกทุกสิ่งอย่าง แต่หลังจากที่ได้ทำมันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ได้ทำให้ผมมีวินัยในการใช้จ่ายมากขึ้น คิดก่อนใช้(เพราะขี้เกียจจดเลยไม่จ่ายดีกว่า)


3.แบ่งเงินใช้ในแต่ละวัน

ปกติผมจะกดเงินสดมาไว้ในกระเป๋าครั้งละหลายบาท พอใช้หมดก็กดใหม่ เป็บแบบนี้ไปจนสิ้นเดือนและเงินก็หมดในที่สุด ผมเจอวิธีนี้จากเพจเช่นกัน ผมจึงเริ่มทันทีด้วยการแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ ผมเชื่อว่าการกินวันละ100บาทนั้นสามารถอยู่ในกรุงเทพฯได้(มีคนทำมาแล้ว) ผมก็เลยแบ่งเงินออกเป็น30กอง กองละ 100 บาท และสามารถใช้ได้แค่วันละ100เท่านั้น(เฉพาะเงินกิน ไม่รวมค่าเดินทางและอื่นๆ) ซึ่งตอนแรกผมมองว่าโครตยาก แต่หลังจากลงมือทำไปได้สัก 1 อาทิตย์ ไม่น่าเชื่อ ผมสามารถกินอาหารได้วันละ 100 บาทได้จริงๆด้วย

***สำหรับที่ถามว่า 100 บาทผมกินอะไร ในเมืองกรุง
เช้า แซนวิชโฮลวีต(เน้นผัก) 30 บาท
กลางวัน ข้าวแกงปลอดสารพิษ ร้านป้า ข้างที่ทำงาน 35 บาท
เย็น ก๋วยเตี๋ยว/สลัดผัก 35 บาท
รวมทั้งสิ้น 100 บาท (และต้องหยอดกระปุกเพิ่มด้วย 20 บาท จากเงินที่มีอยู่)


4.เก็บภาษีเงินได้ และภาษีเงินจ่าย(ทันที)

ผมตั้งกฏไว้อีกหนึ่งข้อว่า ไม่ว่าจะรับเงินมากจากทางใดก็ตาม(รวมทั้งเงินเดือน) ต้องเก็บในกระปุกทันที 10% และ ไม่ว่าจะใช้จ่ายอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องกินหรือเรื่องเที่ยว(ยกเว้นค่าผ่อนรถ ค่าไฟ ค่าน้ำ) ให้เก็บเงินเข้ากระปุกทันที 20% นั้นก็คือ หากซื้อข้าวจานละ 100 บาท นั่นผมต้องจ่าย 120 บาทเลยทีเดียว โอย..คิดหนักๆ แต่สิ่งนี้ทำให้ผมมีเงินเก็บอีกหนึ่งกองด้วยกัน

หลังจากหยอดทุกวัน ตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงปลายเดือน ก็มีเงินพอสมควร


หลังจากนั้น ผมก็จดจำนวนเงินนั้นใส่การ์ดไว้ แล้วนำการ์ดนั้นใส่กระปุกไว้ เพื่อให้รู้ว่าเดือนนั้นเราเก็บเงินได้เท่าไร


5.ลงทุน
ผมเริ่มศึกษาการลงทุนรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น LTF RMF หรือหุ้น หรือเงินออมทรัพ ประกันชีวิต มีมากมายก่ายกองสำหรับการลงทุนเพื่อใช้เงินไปทำงานแทนเรา ผมเองก็เริ่มเช่นกัน นำเงินที่ได้จากการเก็บนี้แหละครับ ไปลงทุนในรูปแบบต่างๆ ผมเริ่มจากกองทุนรวมที่ไม่มีขั้นต่ำ เพราะเงินเก็บเดือนแรกไม่ได้มากมายอะไร และอีกส่วนหนึ่งก็นำไปลงทุนในอาชีพเสริม ไม่ว่าจะขายของออนไลน์ หรืออะไรก็แล้วแต่เพื่อสร้างเม็ดเงินเพิ่มขึ้น และผมเชื่อว่าพี่ๆน้องที่อ่านอยู่นี้ มีวิธีเพิ่มพูนทรัพย์สินหลากหลายวิธีมากกว่าผมแน่นอน

สุดท้ายนี้ ขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ถึงแม้จะได้ประโยชน์มากน้อยอย่างไรกลับไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมดีใจนั่นก็คือ ผมได้ตอบแทนบุญคุณพี่ๆน้องที่เขียนประสบการณ์แบบนี้ ในเพจต่างๆและพันทิปไว้ ซึ่งผมนำมาใช้และทำ ทำให้ผมมั่นใจว่าเงินหนึ่งล้านแรกไม่น่าจะยากจนเกินไปสำหรับผม ผมเป็นลูกชาวนา ไม่ได้มีเงินทองมากมายติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ผมตั้งใจที่จะส่งต่อประสบการณ์นี้ ให้กับคนรุ่นต่อไป ตอบแทนสังคมคืนกลับไป

ปล.1. ขอบคุณเพื่อนรักผมมาก ที่บอกว่า “วันๆเห็นแต่เอ็งโพสวิธีใช้เงิน ทำไมไม่โพสวิธีหาเงินบ้างวะ” วันนี้มาโพสให้แล้วนะเพื่อน
ปล.2. ไม่รู้แท็กถูกห้องหรือเปล่านะครับ ถ้าผิดรบกวนแจ้งด้วยครับ โพสแบบนี้ครั้งแรกจริงๆ

ที่มา: http://www.hotnewshotclip.com/2016/02/blog-post_12.html
Share:
อ่านต่อ
Posted in    

กระจกมองหลังในรถยนต์ที่จริงต้องใช้แบบนี้

คนที่ขับรถยนต์ทั้งหลายคงเคยอ่านคู่มือการใช้กระจกมองหลังใช่ไหม แต่ปรับแล้วก็ยังมีบางส่วนที่ยังมองผ่านกระจกไม่เห็น


ภาพด้านล่างนี้เป็นกระจกข้างด้านขวา(right side mirror)เวลาเรามองจะเห็นเป็นลักษณะนี้


1/3ของกระจกจะเป็นตัวรถของเรา 2/3ของกระจกจะเป็นด้านข้างนอกตัวรถ
ภาพด้านล่างนี้เป็นวิวที่เราเห็นผ่านกระจกมองหลัง(review mirror)


เรามองไปที่กระจกข้างขวากันอีกครั้ง


มีอะไรผิดปกติไหม มาดูกัน


ในสองรูปนี้ส่วนที่เป็นสีแดงคือจุดเดียวกัน เพราะฉะนั้นภาพที่เห็นผ่านกระจกมองข้างนั้นไม่ใช่ด้านข้างทั้งหมด แต่เป็นด้านหลัง!

แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง

ก่อนอื่นจอดรถในที่ปลอดภัยแล้วค่อยเริ่มปรับกระจก

กระจกด้านซ้าย: มองจากด้านชิดหน้าต่างด้านในรถทางซ้าย แล้วปรับกระจกให้มองเห็นด้านข้างทั้งหมดโดยไม่เห็นรถตัวเองในกระจก

กระจกด้านขวา: มองจากจุดตรงกลางรถระหว่างเบาะที่นั่งทั้งสอง แล้วปรับให้เห็นวิวด้านข้างทั้งหมด โดยไม่เห็นรถตัวเองในกระจกเช่นกัน

มาดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง


ณ ตำแหน่งเดิม แต่เราสามารถมองเห็นรถที่จอดอยู่ข้างๆที่ตอนแรกมองไม่เห็น!

ขับรถไปด้านหน้า3เมตร ให้เห็นรถคันที่จอดอยู่ผ่านกระจกมองหลัง


จากรูปจะเห็นได้ว่าเราเห็นวิวด้านขวาได้ชัดเจนมากขึ้น เห็นรถด้านข้างที่จอดอยู่ทั้งในกระจกมองข้างและกระจกมองหลัง

มาดูกระจกด้านขวากันอีกครั้ง


จากรูปบน จะเห็นได้ว่ากระจกด้านข้างเราเห็นวิวรถคันเดียวกัน ทำให้เราไม่มีทางพลาดที่จะไม่เห็นรถคนนี้ในกระจกเลย

ตอนนี้ให้ถอยรถไปอีก6เมตร (3เมตรจากตำแหน่งแรก)

แล้วมาดูวิวที่เราเห็นจากกระจกในรถยนต์


เราจะยังเห็นท้ายรถที่จอดอยู่ด้านข้างผ่านกระจกด้านขวา

เมื่อมองไปที่หน้าต่างด้านขวานอกตัวรถ


ในมุมนี้เราไม่จำเป็นต้องหันไปมองเลย แค่มองผ่านกระจกในรถยนต์ก็เห็นรถที่จอดอยู่ด้านข้างแล้ว

ก่อนขับรถทุกครั้งให้ปรับกระจกรถยนต์ให้อยู่ในตำแหน่งที่ชัดเจนเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่!

credit: liekr.com
Share:
อ่านต่อ
Posted in    

รางวัลของผู้ซื่อสัตย์

คุณน่าจะชอบ::ตรวจสุขภาพแค่ไหนพอเหมาะ?

สุขภาพต้องตรวจเช็ค ถ้าอย่างนั้นแค่ไหนพอดีเหมาะสม
"เคยมีการประเมินไหมว่า คนๆ นั้นมีภาวะซึมเศร้า อย่างบางคนกระโดดตึกตาย ถ้าเราคัดกรองตั้งแต่แรกได้ว่าเขามีความเสี่ยง เราก็จะรู้ว่า คนๆ นั้นต้องได้รับการดูแลและป้องกันโรค" ดร.นพ.อรรถสิทธิ์ ศรีสุบัติ รักษาการ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ กรมการแพทย์ กล่าวถึงสิ่งที่ตกหล่นในการตรวจสุขภาพที่พอดีและเหมาะสม
ว่ากันว่า ในการตรวจสุขภาพทั่วไป ส่วนใหญ่ไม่มีการคัดกรองโรคซึมเศร้า และแทบจะไม่ให้ความสำคัญ ทั้งๆ ที่ควรมีเรื่องเหล่านี้อยู่ ถ้าอย่างนั้นการตรวจสุขภาพเบื้องต้นแค่ไหนจำเป็นและเหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กำลังทำเรื่องนี้อยู่

จากผลสำรวจการตรวจร่างกายของคนไทย ปี 2551-2552 พบว่า ประชาชนบางส่วนไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือป่วยเป็นโรค หนึ่งในสามของคนเป็นเบาหวานไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นเบาหวาน และกว่าครึ่งของคนเป็นความดันโลหิตสูง ไม่เคยได้รับการวินิจฉัยมาก่อน

ส่วนในปี 2549-2550 สตรีอายุ 15-59 ปี เคยได้รับการตรวจปากมดลูกเพียงร้อยละ 42.5 ในขณะที่ก่อนปี 2549 เคยได้รับการตรวจเพียงร้อยละ 18.3 ทั้งๆ ที่ภาวะเสี่ยงและโรคต่างๆ สามารถตรวจพบได้ ด้วยวิธีที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และสามารถป้องกันและบำบัดรักษาได้แต่เนิ่นๆ

แม้การตรวจสุขภาพจะเป็นเรื่องจำเป็น แต่คนจำนวนมากก็ละเลย รอให้ป่วยก่อนค่อยไปหาหมอ ดังนั้นอีกไม่นานทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จะมีคู่มือให้ประชาชนรู้ว่า แต่ละช่วงวัยต้องตรวจสุขภาพที่จำเป็นและเหมาะสมอย่างไร

เพราะที่ผ่านมา มีการตรวจสุขภาพในห้องปฎิบัติการที่ไม่จำเป็นอยู่หลายเรื่อง อาทิ
"การตรวจระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด แทบจะไม่มีประโยชน์เลยในการวิเคราะห์การเพิ่มระดับ non-HDL cholesterol" จากรายงานคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญบนพื้นฐานประสบการณ์คลินิก " ,"การตรวจ chest x-ray การคัดกรองมะเร็งปอดทุกปี เมื่อเทียบกับกลุ่มไม่คัดกรอง ก็แทบจะไม่มีประโยชน์เลย" จากการศึกษาแบบกลุ่มสุ่มตัวอย่าง-ควบคุม ฯลฯ
ตรวจสุขภาพ ไม่ใช่แค่ผลแล็บ

ถ้ายังไม่ป่วย และต้องการแค่ตรวจดูว่า สุขภาพส่วนไหนเจ็บป่วย เพื่อจะได้รีบบำบัดแก้ไข ดูแลสุขภาพ ป้องกันโรค ซึ่งมาตรฐานการตรวจสุขภาพทั่วไปที่ประชาชนควรรู้ ถ้าใช้เกณฑ์แค่วัยทำงาน 18-60 ปี ก็จะมีการซักประวัติ เพื่อค้นหาความผิดปกติทั่วไป ,ประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพ ซึ่งมีการประเมินภาวะซึมเศร้า, ความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด,ประเมินระดับการติดบุหรี่ สุรา และสารเสพติด ซึ่งมีผลต่อร่างกาย รวมถึงการตรวจในห้องปฎิบัติการ
ตรวจสุขภาพแค่ไหนพอเหมาะ? thaihealth

"บางทีการตรวจสุขภาพก็พึ่งเทคโนโลยีมากไป แต่บางครั้งเทคโนโลยีก็ไม่ได้ตอบโจทย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ บางทีก็มีผลบวกลวง (False positive-หมายความว่า ผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรค แต่ผลการตรวจกลับบ่งบอกว่าเป็นโรค) อย่างผลออกมาคุณเป็นมะเร็ง แต่จริงๆ แล้วคุณปกติ หรือตรวจออกมาเป็นเอชไอวี แต่คนไข้ไม่ได้เป็นโรค เพราะเครื่องมือลวงบอกว่าเป็นโรค ซึ่งไม่มีเครื่องมือไหนตรวจแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก " คุณหมออรรถสิทธิ์ เล่า เพื่อให้เห็นว่า บางทีเทคโนโลยีก็สร้างปัญหาให้กับคน
และไม่ใช่แค่ผลบวกลวง ยังมีผลลบลวง (False negative- หมายความว่า ผู้ป่วยเป็นโรคจริง แต่ผลการตรวจกลับไม่พบ ) ซึ่งเรื่องนี้คุณหมอบอกว่า เครื่องมือที่ดีต้องแสดงผลบวกจริงหรือผลบวกแท้ คือ ผู้ป่วยเป็นโรคจริง และผลการตรวจก็บ่งบอกว่าเป็นโรคชนิดนั้นจริง
"ถ้าเป็นอย่างนั้น ต้องตรวจยืนยันด้วยวิธีอื่นอีก เหมือนที่ผมบอก การใช้แครื่องมือพวกนี้ ไม่มีอะไรเต็มร้อย"








Credit: หมอดูตัวดำ3
ขอขอบคุณ Sagami Original Thailand
ถุงยางที่บางที่สุดในโลก ซากามิ0.02 บางเหมือนไม่ได้ใส่
Share:
อ่านต่อ

Discussion revealed masturbate wet but actually finished it?

สร้างประวัติศาสตร์ในวงการภาพยนตร์อีโรติกเลยทีเดียวสำหรับ “อุ้ม ลักขณา วัธนวงศ์สิริ” หลังจากตัดสินใจรับบท “ส้ม” ในภาพยนตร์ “น้ำตาลแดง” เพราะหนังเรื่องนี้ถึงจะไม่มีฉากเลิฟซีนจ๊วบจ๊าบซู่ซ่ากับดาราหนุ่มๆ แต่ก็มีฉากที่อุ้มต้องปลดเปลื้องอารมณ์โดยการ “สำเร็จความใคร่” ตัวเองในห้องน้ำ แถมยังมีการสัมผัสน้ำรักของตัวเองทั้งดูดทั้งดมอีกต่างหาก….โอ้ววว

โดยฉากนี้ถูกเผยแพร่อยู่ในหนังเรื่องดังกล่าวยาวนานเกือบ 10 นาทีเต็มชนิดไม่มีตัดต่อ เล่นเอาคนดูแทบจะกลั้นใจตาย เพราะว่ากันว่าฉากนี้อุ้มเล่นได้อินสุดๆ จนเป็นที่ถกเถียงกันว่า อุ้มปฏิบัติการสำเร็จความใคร่ตัวเองจริงๆ หรือเปล่า ?!

รวมไปถึงฉากที่ต้องสักบริเวณเนินอวัยวะเพศ ซึ่งในหนังเผยให้เห็นถึงขั้นตอนการสัก เริ่มตั้งแต่การโกนขนบริเวณดังกล่าวเลยทีเดียว เล่นเอาคนดูอึ้งเลยทีเดียวว่า นี่โกนจริงหรือสแตนด์อิน ก็ฮอตซะขนาดนี้บันเทิงผู้จัดการออนไลน์ก็เลยไม่พลาดที่จะจับอุ้มมาเผยให้หมดเปลือก ชนิดล้วงลึกใต้กระโปรงเลยทีเดียว

ผลก็คือ อึ้ง ทึ่ง เสียว เพราะเจ้าตัวคอนเฟิร์มแบบตรงๆ ว่า สองซีนสุดสะเด่าดังกล่าวว่า ช่วยตัวเองจริง เปียกจริง โกนจริง แต่เสร็จหรือเปล่า….

“สำหรับหนังเรื่องนี้ถือเป็นความแปลกใหม่ของวงการ เพราะเป็นหนังเรื่องแรกที่มีการจัดเรตติ้งจริงๆ ตอนที่ติดต่อมาเขาบอกว่า เขาค้นหานักแสดงมาครึ่งปีกว่าจะมาลงตัวเป็นอุ้ม โจทย์ของผู้กำกับก็คือต้องการให้ส้มหรือตัวนางเอกเนี่ย เป็นผู้หญิงที่หน้าไทยผิวแทนดูคมๆ นิดนึง พอเขามีโอกาสได้มาเจออุ้มและพูดคุยกันก็กลายเป็นว่า เราคือคาแรคเตอร์ที่เขาตามหาอยู่”


“พอคุยเรื่องคาแรคเตอร์เสร็จก็มาคุยเรื่องของบท เขาก็ส่งบทมาให้อ่าน พออ่านแล้วก็อึ้งไปเลยมันต้องมีฉากนี้ด้วยเหรอ แต่พอได้พูดคุยกับผู้กำกับก็ทำให้เรารู้ถึงที่มาที่ไปของฉากนี้ มันมีเหตุผลของมัน มันมีความจำเป็นจะต้องมี และพอมีออกมาแล้วก็ไม่ได้ทำให้หนังดูน่าเกลียดหรืออนาจาร แต่มันกลับเป็นอีกมุมหนึ่งที่เป็นแง่คิดให้กับผู้หญิงว่า มันไม่จำเป็นจะต้องไปวันไนท์สแตนด์หรือไปนอนอะไรกับใคร”

“คือผู้หญิงเราทุกคนมีความต้องการ มีความปรารถนา แต่ว่าแรงปรารถนานั้นเราจะแสดงออกเป็นรูปแบบไหน บางคนอาจจะคิดว่าการมีเซ็กส์เป็นเรื่องง่ายๆ แค่มีอารมณ์ก็มีอะไรกัน ซึ่งตัวละครตัวนี้มีความเป็นผู้หญิงไทยมีความต้องการ แต่เราเลือกที่จะเก็บเอาไว้ และเราก็สามารถทำด้วยตัวเองก็ได้นิ ไม่จำเป็นจะต้องจบด้วยการไปนอนกัน ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่ดีนะเพราะเรามีความต้องการแต่เราก็ไม่ได้ไปมั่วกับใคร”

“แล้วมาดูตัวละครก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มาก อุ้มไม่ต้องแต่งหน้า ไม่ต้องทำผม ไม่ต้องทำให้ตัวเองดูเซ็กซี่ มันไม่ต้องประดิษฐ์ขึ้นมาว่าฉันเซ็กซี่ แต่มันเซ็กซี่โดยอารมณ์ของตัวละคร เราชอบมากรู้สึกว่ามันเจ๋ง เราไม่ต้องแต่งหน้าไม่ต้องทำอะไร แต่ออกมาแล้วมันใสมากเป็นผู้หญิงที่มีอยู่จริงบนท้องถนนทั่วไป บทของส้มจะเป็นผู้หญิงที่มาจากต่างจังหวัด ทำงานนวดอยู่ข้าวสาร”

อินจัด “สำเร็จความใคร่” จริง !

“อุ้มเล่น 10 นาทีเทคเดียวผ่าน มันเป็นฉาก LONG TAKE เล่นยาวเลยและเขาก็เอาทั้ง 10 นาทีมาฉายโดยที่ไม่มีการตัดต่อ แต่ตอนถ่ายก็จะมีบางช็อตที่มีการรับภาพใกล้ แต่พอถึงเวลาที่จะต้องเลือกจริงๆ เขาก็เอาภาพที่รับใกล้ๆ กับภาพที่เป็นฉาก LONG TAKE ไปให้ทางคณะกรรมการดู ให้นิสิตนักศึกษาดู ซึ่งทุกคนดูแล้วก็บอกว่าฉากที่เป็น LONG TAKE ได้อารมณ์กว่า ทั้งๆ ที่ฉาก LONG TAKE แทบจะไม่เห็นอะไรเลย ไม่เห็นหัวนม ไม่เห็นเต้านมเต็มๆ แต่ฉากที่รับภาพใกล้ๆ ที่เห็นหัวนมกลับไม่ได้อารมณ์เท่ากับฉาก LONG TAKE”

“อารมณ์การแสดงของอุ้มมันเริ่มมาจาก ค่อยๆ มีความต้องการจนกระทั่งถึงจุดจบ มันก็เลยเป็นอะไรที่ทรมานใจมากกว่าการตัดภาพรับภาพ คือฉากที่เป็น LONG TAKE มันทำให้คนดูลุ้นมากกว่า ลุ้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ลุ้นว่าจะเห็นอะไรไหม ลุ้นว่ากางเกงจะหลุดหรือเปล่า ลุ้นว่าจะถอดเสื้อหรือเปล่า”

“วันที่จะเข้าฉากนี้รู้สึกตื่นเต้นมากๆ คืนนั้นนอนไม่หลับเพราะไม่รู้จะเล่นยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นกับอารมณ์และความพยายามของอุ้มเอง วันนั้นกินข้าวไม่ลงเลย เครียดมาก ห่วงโป๊ก็ห่วง ห่วงว่าจะเล่นไม่ดีก็ห่วง แต่พอแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยปุ๊บ อุ้มก็ทำสมาธิอยู่พักนึงค่อยเริ่มการแสดง”

“ทางผู้กำกับไม่ได้มาไกด์เลยว่า ต้องเริ่มต้นยังไง ทุกอย่างเป็นการแสดงของอุ้มหมด เขาบอกแค่ว่า ถ้าเราเป็นส้มแล้วเรารู้สึกแบบนั้นเราจะแสดงออกมายังไง พอถึงเวลาเราก็สวมวิญญาณเข้าไป แล้วเราก็เริ่มจากความรู้สึกจริงๆ ที่มันมาจากตัวละครตัวนั้น เราไม่ได้คิดว่าเราเป็นอุ้มไง ถ้าคิดว่าเป็นอุ้มก็คงเล่นไม่ได้เราคงอาย”

“อุ้มหลับตาแล้วก็นึกถึงตอนนี้ว่าเรากำลังทำหน้าที่อะไรอยู่ เราต้องถ่ายทอดอารมณ์ออกมา ถ้าเราเล่นไม่ดีเล่นไม่ได้ บทนี้จะแบบดูไม่ได้เลยเพราะมันเป็นไฮไลท์ของเรื่อง และหนังเรื่องนี้มันก็เป็นประวัติศาสตร์ เพราะเราเป็นนักแสดงในประเทศไทยคนแรกที่กล้าจะเล่นบทแบบนี้ ต้องใช้สปิริตสูงมากนะคะถึงจะเล่นได้ การเล่นเลิฟซีนกับผู้ชายยังง่ายกว่า”

หลายๆ คนที่ดูหนังเรื่องนี้ต่างสงสัยว่า ตอนที่ “อุ้ม” เข้าฉาก “ช่วยเหลือตัวเอง” เจ้าตัวจินตนาการถึงอะไร ภาพในหนังถึงได้ออกมาเด็ดสะเด่าขนาดนั้น
“อุ้มคิดถึงพระเอกค่ะ คิดถึงฉากนวดซึ่งเป็นฉากก่อนที่จะเกิดฉากนี้ขึ้น คือเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ความรักความรู้สึกความปรารถนาผ่านการนวดโดยที่เราไม่ได้มีเซ็กส์กัน แต่มันมีการถูกเนื้อต้องตัวและทำให้มีอารมณ์เกิดขึ้น เรานึกถึงว่าฉากนั้นเราเล่นอะไรไปบ้าง พอนึกถึงได้ปุ๊บเราก็ค่อยๆ จินตนาการมันขึ้นมา และก็ค่อยๆ ไต่ระดับความต้องการของตัวเองขึ้นมา ค่อยๆ สร้างความรู้สึกของตัวเองขึ้นมา (ว่าพอนวดเสร็จแล้วมีอะไรกันเราก็จินตนาการไป) ใช่ค่ะจินตนาการไป”

อินจริงๆ หรือเปล่า
(หัวเราะชอบใจเสียงดัง) “มันก็อินเนอร์จริงๆ ค่ะ เรารู้สึกจริงๆ เราเล่นจริงๆ มันก็เลยออกมาเป็นแบบนั้นล่ะค่ะ ทุกอย่างมันต้องเป็นอะไรที่มันจริงอยู่แล้ว เพราะถ้าอะไรมันหลอกคนดูจะจับผิดได้ ถ้ามันคือการหลอก ถ้ามันคือการเสแสร้งแกล้งทำ แต่อันนี้มันไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำมันคือการทำจริงๆ หรือเปล่า จนคนคิดว่าเฮ้ย…นี่ทำจริงๆ หรือเหรอ เฮ้ย….นี่สำเร็จจริงๆ หรือเปล่าอะไรอย่างนี้ อันนี้ไอ้สำเร็จจริงๆ หรือเปล่าไม่บอกแล้วกัน แต่ว่าเล่นจริงๆ ทำจริงๆ”

ถ้า “อุ้ม” บอกว่า การเล่นฉากนี้คือการแสดงของตัวเองล้วนๆ ที่เล่นไปตามอารมณ์และจินตนาการของตัวเอง ก็ถือว่าเจ้าตัวแรงไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว เพราะในฉากมีการดูดดมสัมผัสน้ำรักของตัวเองผ่านมือด้วย
“ผู้กำกับเป็นคนที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะเขาเป็นผู้หญิง เพราะฉะนั้นอารมณ์ของผู้หญิงมันมีอารมณ์เซ้นซิทีฟมีอารมณ์ที่นุ่นนวลนุ่มลึกกว่าผู้ชาย มันไม่ใช่อารมณ์รุนแรงแบบป๊ะๆๆ กันแบบนั้น แต่มันเป็นอารมณ์ที่เป็นศิลปะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”

“อย่างในฉากที่มีน้ำแล้วเอามาสัมผัสมาลองดมลองกิน อันนั้นผู้กำกับก็บอกมาว่า อยากให้มีฉากนั้นด้วย อยากให้มีการกระทำแบบนั้นด้วย (เพื่อ….) เพื่ออะไรเหรอคะ มันก็คงเป็นอารมณ์หนึ่งของความเป็นส่วนตัว ตอนนั้นเราอยู่ในห้องน้ำ ซึ่งมันเป็นที่ส่วนตัว ผู้หญิงคนหนึ่งมีความต้องการและอยากรู้สึก อยากได้กลิ่น อยากสัมผัส มันเป็นเหมือนการสัมผัสตัวเองและสัมผัสผ่านไปยังพระเอกด้วย คือมันต้องการจะสื่ออารมณ์”

ก็เล่นสมจริงสมจังซะขนาดนั้น เราก็เลยอดถามไม่ได้ว่า ฝ่ายพร็อบใช้อะไรแทนน้ำของจริง ให้กินอะไร ดมอะไร เล่นเอา “อุ้ม” ถึงกับหัวเราะร้อง “ว้าย..” เลยทีเดียว ก่อนจะตอบว่า….
“ก็หนูจับอะไรอยู่ก็…(หัวเราะฮ่าๆ) มันเห็นน้ำเลยเหรอคะ (ใช่…มันเป็นฉากยาวแสดงว่าของจริง) ใช่ค่ะมันเป็นฉากยาว”

You Might Also LIKE


ที่มา:thaiznews
Share:
อ่านต่อ
Posted in    
//adevertiser