หูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อไวรัสฮิวแมน แปปิโลมาไวรัส (Human Papilloma Virus) หรือ HPV เชื้อไวรัสHPVนี้ที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้เช่นกัน แต่เนื่องจากไวรัส HPV มีหลายสายพันธุ์ จึงทำให้เกิดหูดหงอนไก่ หรือโรคต่าง ๆ กันไป หากเป็นหูดหงอนไก่ก็อาจจะเป็นสายพันธุ์ 6 หรือ 11 แต่ถ้าใครเป็นหูดหงอนไก่จากไวรัส HPV สายพันธุ์ 16 หรือ 18 ก็มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกตามมาได้เช่นกัน
การติดต่อของหูดหงอนไก่ โดยมีการสัมผัสระหว่างผิวหนังกับผิวหนังเป็นช่องทางติดต่อที่พบบ่อยที่สุด ส่วนการใช้เครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว สบู่ รวมทั้งการสัมผัสหรือเกา แล้วไปสัมผัสบริเวณอื่น เป็นปัจจัยรองลงมา โดยมีระยะฟักตัวนาน 1-6 เดือน
ลักษณะของหูดหงอนไก่ อาการเริ่มแรก ผิวหนังจะเริ่มเป็นผื่นสีออกน้ำตาลไปทางชมพู เมื่อผื่นมีขนาดใหญ่จะมีสีน้ำตาลผื่นนูนหนาขึ้น จากนั้นจะมีหูดที่มีลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ จนถึงก้อนโตจนอุดกั้นช่องคลอด ทวารหนัก หรือท่อปัสสาวะเลยก็ได้ บางรายอาจมีเลือดออกมาจาก้อน คัน มีการตกขาวผิดปกติ รวมทั้งแสบร้อนที่อวัยวะเพศ
จุดสังเกตที่ทำให้วินิจฉัยได้ว่าเป็น “หูดหงอนไก่” นั้นก็คือ หูดจะมีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ หรือแบบหงอนที่หัวไก่ชน เป็นติ่งเนื้ออ่อน ๆ สีชมพู บางคนอาจมีตุ่มนูนเล็ก ๆ แห้ง ๆ คล้ายมีขี้ไคลคลุม บางคนอาจเป็นตุ่มนูนแบน และตุ่มนูนเล็ก หรือมีหลายชนิดปนกัน มีขนาดแตกต่างกัน การเรียงตัวอาจติดกัน หรือการกระจายตัวไปทั่ว
ยารักษาหูดหงอนไก่
1. โพโดฟีโลทอกซิน (Podophylotoxin)เป็นยาทาที่จะช่วยไปยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ แต่ก็มีผลข้างเคียงคือ อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง เป็นแผล และปวด หากเข้าสู่กระแสเลือดอาจทำให้เส้นประสาทอักเสบ ชาตามตัว เม็ดเลือดขาวต่ำ และเกล็ดเลือดต่ำได้ โดยยานี้ต้องให้แพทย์เป็นผู้ทาให้ตามเวลานัด
2. ไตรคลอโรเซติกแอซิด (80-90% Trichloroacetic acid; TCA) มีฤทธิ์ทำให้โปรตีนในเซลล์เสื่อมสภาพเป็นเซลล์ตาย ทำให้หูดที่มีก้านหลุดออกไปได้ภายใน 2-3 วัน แต่อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวหนังระคายเคือง มีเลือดออกได้ ยาชนิดนี้ก็ต้องให้แพทย์เป็นผู้ทาให้เช่นกัน
3. อิมิควิโมด (5% Imiquimod/ Aldara Cream) ผู้ป่วยสามารถใช้ยานี้ทาได้เอง โดยยานี้จะเข้าไปกำจัดไวรัส HPV ในร่างกาย แต่ใช้แล้วอาจเกิดผื่นได้เฉพาะที่ขึ้นเป็นผลข้างเคียง
4. โพโดฟิลอก (Podofilox 0.5%) ยานี้จะเข้าไปยังยั้งการแบ่งเซลล์ สามารถใช้ทาได้เองเช่นกัน ผลข้างเคียงคืออาจทำให้เกิดระคายเคืองได้
โรคริดสีดวงทวาร
โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids หรือ Piles) คือ โรคที่เกิดจากการอักเสบ และ/หรือการบวมของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด (Vascular structures, เนื้อเยื่อที่ประกอบด้วย หลอดเลือดดำ หลอดเลือดแดง และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน) ที่อยู่ภายในทวารหนักและรอบๆปากทวารหนัก โดยเนื้อเยื่อกลุ่มนี้มีหน้าที่ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อทวารหนักในช่วงมีการขับถ่ายอุจจาระ และช่วยให้ปากทวารหนักปิดสนิทช่วงไม่ปวดถ่ายอุจจาระ
ภายในทวารหนัก (ทวารหนักอยู่ต่อจากลำไส้ตรง โดยลำไส้ตรง คือลำไส้ใหญ่ตอนล่าง สุด เป็นลำไส้ใหญ่ส่วนที่ต่อกับทวารหนัก) จะมีแนวเส้นที่เรียกว่า เส้นเด็นเทท หรือเส้นเพ็กทิเนท (Dentate line หรือ Pectinate line) ซึ่งเป็นเส้นแบ่งทวารหนักออกเป็นส่วนล่างและส่วน บน ทั้งนี้เมื่อเกิดริดสีดวงทวารในส่วนที่อยู่ใต้ต่อเส้นเด็นเทท เรียกว่า “โรคริดสีดวงภายนอก (External hemorrhoids)” และเมื่อเกิดริดสีดวงทวารเหนือต่อเส้นเด็นเทท เรียกว่า “โรคริดสี ดวงภายใน(Internal hemorrhoids)”
อาการของริดสีดวงทวารหนัก
1. เลือดสดๆ ออกมาตามหลังอุจจาระ
2. ก้อนยื่นออกมาจากทวารหนักขณะถ่ายอุจจาระ
3. ทวารหนักเปียกแฉะ คันรอบ ๆ ปากทวารหนัก
4. เจ็บปวดบริเวณทวารหนัก โดยเฉพาะเวลาถ่ายอุจจาระ
5. คลำได้ก้อนที่บริเวณทวารหนัก
ปัจจัยที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวารหนัก
1. ภาวะท้องผูกเรื้อรัง
2. ท้องเสียถ่ายอุจจาระบ่อย ๆ
3. อุปนิสัยเบ่งอุจจาระอย่างมากเพื่อพยายามขับอุจจาระก้อนสุดท้ายให้ออกไป
4. อุปนิสัยใช้เวลานั่งถ่ายอุจจาระนาน เช่น อ่านหนังสือขณะถ่ายอุจจาระ
5. ชอบใช้ยาสวนอุจจาระ หรือยาระบายพร่ำเพรื่อ
6. หญิงตั้งครรภ์ทำให้ถ่ายอุจจาระไม่สะดวก
7. ภาวะโรคตับแข็งทำให้เลือดดำไหลเข้าตับไม่ได้ทำให้เส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง
8. อายุสูงวัยขึ้นทำให้กล้ามเนื้อหย่อนยานลงจนทำให้เบาะรองเลื่อนลงมาจนยื่นออกมาจากทวารหนัก
9. โดยไม่ทราบสาเหตุพบว่าบุคคลที่มีประวัติในครอบครัวเป็นริดสีดวงทวารหนัก จะมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าปกติ